มะเร็งต่อมลูกหมาก

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง คือ มะเร็งอะไร

มะเร็งต่อมน้ำเหลืองคือ เนื้องอกของระบบน้ำเหลืองในร่างกาย ระบบน้ำเหลือง (Lymphoma System) จัดเป็นส่วนนึงของระบบภูมิคุ้มกันประกอบประด้วยอวัยวะน้ำเหลือง อันได้แก่ ม้าม,ไขกระดูก, ต่อมทอนซิล, ต่อมไทมัส, ภายในอวัยวะเหล่านี้จะเต็มไปด้วยน้ำเหลือง ซึ่งมีหน้าที่นำสารอาหาร และเซลล์เม็ดเลือดขาว (Lymphocyte) ไปทั่วร่างกาย

สาเหตุก่อให้เกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

ปัจจัยเสี่ยง คือ ภาวะที่ทำให้มีโอกาสเกิดโรคมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าการที่มีปัจจัยเสี่ยงข้อใดข้อหนึ่งแล้วจะต้องเกิดโรคนั้นเสมอไป ในปัจจุบันนี้ยังไม่สามารถบอกสาเหตุของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองทุกรายได้อย่างชัดเจนแต่พบมีความสัมพันธ์กับหลายภาวะ ได้แก่

  • อายุ อุบัติการณ์ของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเพิ่มขึ้น เมื่ออายุมากขึ้นโดยอุบัติการณ์สูงสุดอยู่ที่ช่วงอายุ 60-70 ปี
  • เพศ เพศชายพบเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมากกว่าเพศหญิง
  • การติดเชื้อ พบความสัมพันธ์ระหว่างมะเร็งต่อมน้ำเหลืองบางชนิดกับการติดเชื้อ
  • ภาวะพร่องภูมิคุ้มกันของร่างกาย ผู้ป่วย HIV พบอุบัติการณ์ของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเพิ่มขึ้น
  • โรคภูมิแพ้ตนเอง (Autoimmune disease) ผู้ป่วย SLE พบอุบัติการณ์ของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเพิ่มขึ้น
  • การสัมผัสสารเคมี เช่น ยาฆ่าแมลงจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

อาการโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง มีอะไรบ้าง

  • การพบก้อนที่บริเวณต่างๆของร่างกาย เช่น ที่คอ รักแร้ ขาหนีบ โดยก้อนที่เป็นมะเร็งต่อมนั้นมักไม่เจ็บ ซึ่งต่างจากการติดเชื้อ ที่มักมีอาการเจ็บที่ก้อน
  • ไข้ หนาวสั่น
  • มีเหงื่อออกมากตอนกลางคืน
  • เบื่ออาหาร และน้ำหนักลด
  • อ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ไอเรื้อรัง และหายใจไม่สะดวก
  • ต่อมทอนซิลโต
  • อาการไข้ทั่วร่างกาย
  • ปวดศีรษะ (พบในมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในระบบประสาท)

โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมีกี่ระยะ

ระยะที่ 1: มีรอยโรคที่ต่อมน้ำเหลืองหรือนอกต่อมน้ำเหลืองเพียงบริเวณเดียว

ระยะที่ 2: มีรอยโรคที่ต่อมน้ำเหลืองหรือนอกต่อมน้ำเหลืองตั้งแต่2 ตำแหน่งขึ้นไป โดยต้องอยู่ภายในด้านเดียวกันของกะบังลม

ระยะที่ 3: มีรอยโรคที่ต่อมน้ำเหลืองหรือนอกต่อมน้ำเหลือที่อยู่คนละด้านของกะบังลม และ/หรือพบรอยโรคที่ม้ามร่วมด้วย

ระยะที่ 4: มีรอยโรคกระจายออกไปเกินตำแหน่งเริ่มต้นที่พบ ตำแหน่งที่พบการกระจายได้บ่อย เช่น ตับ, ไขกระดูก, หรือปอด

นอกเหนือจากการประเมินระยะของโรคแล้ว แพทย์ผู้รักษาจะอาศัยข้อมูลอื่นๆของผู้ป่วยเพื่อนำมาคำนวณหาดัชนีประเมินการพยากรณ์โรคเพิ่มเติมด้วย ซึ่งจะสามารถแบ่งกลุ่มผู้ป่วยออกเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงและกลุ่มเสี่ยงต่ำ

วิธีการคัดกรองโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

การวินิจฉัยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจะเริ่มต้นจากการซักประวัติและการตรวจร่างกาย จากนั้นจะพิจารณาสืบค้นเพิ่มเติมอีก ได้แก่

1. การตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา (Biopsy)

2. การตรวจไขกระดูก ( Bone marrow biopsy)

3. การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ( PET scan หรือ CT scan)

4. การเจาะเลือดเพื่อดูผลเลือดต่างๆ

ซึ่งผลการตรวจทั้งหมดจะนำมาประเมินระยะของโรค เพื่อเป็นแนวทางในการพยากรณ์โรคและการรักษาโรคต่อไป

วิธีการรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

การเฝ้าติดตามโรค (Watch&Wait) การเฝ้าติดตามโรคมักใช้ในมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดค่อยเป็นค่อยไป (Indolent) หรือในรายที่ผู้ป่วยมีอาการจากตัวโรคไม่มาก ระหว่างการเฝ้าติดตามโรค จะมีการตรวจเลือด หรือตรวจทางรังสีเป็นระยะๆ

  • การรักษาด้วยยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) ยาเคมีบำบัดจะทำลายเซลล์มะเร็ง โดยไปรบกวนกรแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งการเลือกชนิดของยาเคมีบำบัดนั้นจะขึ้นอยู่

กับชริดของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โดยทั่วไปการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองมักจะได้ยาเคมีบำบัดหลายขนานรวมกัน หรืออาจให้ร่วมกับการรักาด้วยแอนติบอดี (Monoclonal Antibodies)

  • การรักษาด้วยยาโมโนโคลนอลแอนติบอดี (Monoclonal Antibodies)

ยาโมโนโคลแอนติบอดี คือ สารสังเคราะห์ที่จะไปจับกับโปรตีนบนผิวของเซวล์มะเร็งหลังจากนั้นจะมีการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เพื่อมากำจัดเซลล์มะเร็งนั้น

  • การรักษาด้วยการฉายรังสี (Radiation Therapy) คือการรักษาด้วยการใช้รังสีปริมาณสูง เพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง
  • การรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด (Tranplantation)

แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ 5.1 การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด โดยอาศัยเซลล์ของผู้บริจาค (Allogeneic transplantation) 5.2 การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด โดยอาศัยเซลล์ของผู้ป่วยเอง (Autologous transplantation)

 

1. การรับประทานอาหาร

  • ควรเลือกรับประทานอาหารที่สะอาด และทำสุกใหม่ๆ
  • ไม่ควรรับประทานอาหารที่เก็บไว้นานโดยไม่ได้อุ่นให้เดือดใหม่หรืออาหารแห้ง ที่ไม่แน่ใจว่าทำเสร็จใหม่ เช่น ขนมตามร้านค้า
  • ควรเลือกรับประทานผลไม้ที่มีเปลือกหนา เช่น ส้ม กล้วย โดยต้องล้างทำความสะอาดก่อนทุกครั้ง
  • ไม่ควรรับประทานผลไม้ที่มีเปลือกบาง เช่น ฝรั่ง องุ่น หรือผลไม้ที่ไม่สามารถทำความสะอาดได้ เช่น สับปะรด
  • ควรล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง
  • ควรงดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

2. การออกกำลังกาย

  • สามารถออกกำลังกายเท่าที่ทนได้ ไม่ควรหักโหม อาจทำไม่ได้เท่าเดิม แต่ภายหลังการรักษาร่างการจะฟื้นตัวขึ้นได้สำหรับผู้ป่วยที่ไม่เคยออกกำลังกาย ไม่ควรอยู่แต่ภายในห้องนอนควรลุกเดินเล่นไปบ้าง เพื่อให้ปอดขยายตัวได้เต็มที่

3. การทำความสะอาดร่างกาย

  • ควรอาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
  • ใช้โลชั่นที่ไม่มีน้ำหอมทาผิวเพื่อป้องกันผิวแห้ง
  • แปรงฟันเบาๆ ด้วยแปรงที่มีขนแปลงอ่อนนุ่ม อย่างน้อย วันละ2 ครั้ง
  • ควรล้างทำความสะอาดบริเวณทวารหนักหลังถ่ายเสร็จทุกครั้งและใช้กระดาษชำระซับเบาๆให้แห้ง

4. ทำจิตใจให้แจ่มใสอยู่เสมอ ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดและมาพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

5. นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย